กว่าง

น.ด้วงปีกแข็ง ตัวมีสีตั้งแต่น้ำตาลอ่อนไปจนถึงเกือบดำ ขามีขนและหนามแข็ง เล็บยาวโค้งงอเป็นคู่ มีเขาเฉพาะตัวผู้ มี ๒ เขา หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับพันธุ์ เขายื่นออกไปด้านหน้า ยาวบ้าง สั้นบ้าง เขาบนปลายแบนโค้งลงแล้วแยกเป็น ๒ ง่าม เขาล่างโค้งงอขึ้น ส่วนมากสั้นกว่าเขาบน ฟักตัวอยู่ใต้ดิน ออกมาหน้าฝนราวเดือนสิงหาคม-ตุลาคม มีหลายชนิด ชนิดที่มีเขายาว เรียก “กว่างโซ้ง” นิยม นำมาชนกัน เป็น”กีฬาพื้นบ้านล้านนา” : คำจ๊อย หนุ่มไปแอ่วสาว “…กว่างแซมกว่างโซ้ง เขายาวนักหนา กว่างแม่นั้นจา จื้อว่าอี่หลุ้ม มันบ่มีเขา ตั๋วมนตะหลุ้ม เป๋นตี้ฮักหุมกว่างปู๊ กว่างกิ๋เขาสั้น นั้นไผก็ฮู้ ไจ๊เป๋น กว่างตั้งอย่างเดียว อี่นายอี่น้อง ลูกของป้อเสี่ยว อ้ายมาคนเดียว ฟั่งหลั๋บเน่อเจ้า…ฟั่งหลั๋บเน่อเจ้า…”

หางแมงป่อง

อักษรล้านนา หางฯแมงฯป่อฯง น.หางแมงป่อง – เป็นชื่อเรือที่นิยมใช้เดินทางระหว่างเชียงใหม่ – กรุงเทพฯ ในอดีต ซึ่งเหมาะกับสภาพพื้นที่ของเชียงใหม่ เนื่องจากน้ำปิงมีสภาพเกาะแก่งมาก, เรือหางแมงป่อง ทำจากไม้สัก ท้ายงอนเชิดขึ้นสูงเหมือนหางแมงป่อง มีประทุนอยู่ตรงกลาง สามารถลอยน้ำได้ดี แข็งแรง เวลาทิ่มถูกเกาะแก่งเรือก็ไม่แตก, ในยุคต้น เป็นเรือที่เจ้านายฝ่ายเหนือใช้ ยุคทองของเรือหางแมงป่องอยู่ในรัชสมัยของเจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับที่ 7 โดยเรือหางแมงป่อง ถูกใช้เป็นเรือพระที่นั่งในคราวเสด็จสู่พระนคร เพื่อถวายตัวเจ้าดารารัศมีซึ่งเป็นพระธิดา ไปเป็นพระชายาในสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5, แต่ยุคหลังใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่าง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-9 เดือน และตั้งแต่มีการสร้างทางรถไฟเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ และการทำเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก จึงทำให้ ”เรือหางแมงป่อง” ขนาดใหญ่ที่ใช้บรรทุก ขนส่งสินค้าหายไปจากน่านน้ำปิง ยังคงมีแต่เรือหางแมงป่องขนาดเล็กคอยบริการผู้โดยสารข้ามฟากที่ ”ท่าเรือหางแมงป่อง” หน้าวัดศรีโขง ฟากตรงข้ามกับสำนักงานเทศบาลนครเชียงใหม่เท่านั้น; เรือแม่ปะ ก็ว่า